ถ้าพูดถึงเบื้องหลังความสำเร็จของแบรนด์ ฐานะภัณฑ์ ในวันนี้ คงต้องกล่าวย้อนไปจากจุดเริ่มต้นในช่วงที่โมเดิร์นเทรนเข้ามามีบทบาทในเมื่อ 30 ปีก่อน
คุณเบญจรัตน์ ฐานะโสภณ ได้นำสินค้าไปเสนอขายที่ห้างเเม็คโครสาขาเเรกที่ลาดพร้าว ตอนนั้นผู้ดูแลจัดซื้อเป็นชาวต่างชาติ การนำไปเสนอต้องมีล่ามช่วย
คุยปรากฏว่าจัดซื้อต่างชาติคนนี้ปฏิเสธสินค้าเกือบทุกตัว เพราะมองว่าขายไม่ได้ สินค้าไม่เหมือนที่ขายในต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ผ้าเช็ดมือห่วงแขวน
เป็นลวดลายดอกไม้ จัดซื้อต่างชาติบอกว่าผ้าเช็ดมือต้องเป็นสีขาวเท่านั้นสีอื่นขายไม่ได้ ซึ่งคุณเบญจรัตน์บอกว่าสีขาวล้วนเมืองไทยไม่ชอบ เพราะดูสกปรก
ง่าย เขาก็ยังยืนยันว่าขายไม่ได้จึงยื่นข้อเสนอว่า ถ้าขายไม่ได้จะขอรับของคืน 100% ถ้าขายได้ค่อยคุยกันเรื่องจ่ายเงิน ซึ่งตอนนั้นฝรั่งคนนั้นก็เเปลกใจ เพราะ
ไม่มีผู้ขายรายไหนให้ข้อเสนอที่เสียเปรียบแบบนี้ จึงอนุมัติให้ทดลองขาย โดยสัญญากันว่า หากขายไม่หมดให้นำรถกลับมาเก็บคืนภายใน 24 ชั่วโมง
ปรากฎว่าเมื่อห้างเเม็คโครเปิดขายวันแรก สินค้าของ ฐานะภัณฑ์ ขายหมดเกลี้ยงภายในไม่ถึง 2 ชั่วโมง จัดซื้อ คนนั้นตกใจมาก รีบเปิดออเดอร์ด่วนเข้ามา
อีกมากมาย จนถึงทุกวันนี้ มีสินค้าอีกหลายๆตัวที่เกิดจากแนวคิดของคุณเบญจรัตน์นั้น ทำตลาดได้เร็วมาก ทั้งนี้เกิดจากคุณเบญจรัตน์เข้าใจผู้บริโภค
ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของการตลาด ลองผลิตและลองใช้จนมั่นใจว่าสินค้าคุณภาพดีจึงกล้าขายจนถึงทุกวันนี้มีสินค้าที่ขยายไปยังหลากหลายกลุ่มทั้ง ชุดเชฟ
เสื้อเชฟ ชุดกุ๊ก หมวกกุ๊ก รองเท้าเชฟ รองเท้ากันลื่น ชุดเสริฟ ผ้ากันเปื้อน ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับร้านอาหาร โรงแรม โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล
ทุกวันนี้ลูกค้าติดใจในคุณภาพ บริการหลังการขายที่รับประกันความพึงพอใจ 100% จากจุดเริ่มต้นดังกล่าวทำให้วันนี้ ฐานะภัณฑ์ เติบโตเรื่อยมาจนถึง
ยุคที่เริ่มมีสินค้าหลากหลายมากขึ้น ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มากมาย แต่สินค้าทุกชิ้น ยังคงยึดมั่นในหลักการ